【อัลเมเร่ซิตี้】การกลับมาสถาปัตยกรรม ‘Eco – Brutalism’ เติมความเขียวในความดิบสู่ยั่งยืน | เดลินิวส์

ถึงแม้ภาพยนตร์ “The Brutalist” จะมีความยาวถึง 3 ชม. 35 นาที แต่ผู้ชมต่างติดตามเรื่องราวชีวิตของสถาปนิกเชื้อสายยิว งานสถาปัตยกรรมของเขาที่สะท้อนจิตวิญญาณและความเจ็บปวดในช่วงสงคราม รวมถึงอำนาจของทุนนิยม

การกลับมาสถาปัตยกรรมEco–Brutalismเติมความเขียวในความดิบสู่ยั่งยืนเดลินิวส์

หลังสงครามที่โลกเรามีทรัพยากรจำกัด ต้องรีบฟื้นฟูอาคารบ้านเรือนที่พังไปให้กลับมาใหม่โดยเร็ว สถาปัตยกรรมแบบ Brutalist จึงตอบโจทย์และเป็นที่นิยม เราจะรู้จักสถาปนิกดัง ๆ หลายคนเช่น คุณ Le Corbusier, คุณ Louis Kahn, คุณ Paul Rudolph, และคุณ Marcel Breuer ที่ออกแบบสถาปัตยกรรมหลังสงคราม ซึ่งเป็นที่จดจำมากมาย โดยใช้คอนกรีตเปลือยเป็นวัสดุหลัก ใช้แนวคิดแบบตรงไปตรงมา รูปแบบสถาปัตยกรรมที่เรียบง่าย แต่อลังการด้วยรูปทรงเรขาคณิต สะท้อนประโยชน์ใช้สอย ตัดสิ่งตกแต่งที่ไม่จำเป็นออกทั้งหมด ให้เห็นรูปทรงของอาคารตระหง่านชัดเจนเหนือธรรมชาติ ทั้งตัวอาคารยังเล่นกับแสงและเงาที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาของวัน

การกลับมาสถาปัตยกรรมEco–Brutalismเติมความเขียวในความดิบสู่ยั่งยืนเดลินิวส์

สถาปัตยกรรม Brutalism ในยุคนั้นเป็นการเริ่มต้นแนวคิดการออกแบบอย่างยั่งยืน พื้นที่ใช้สอยตรงตามการใช้งานจริง (Form follow Function) ที่เน้นความประหยัดเรียบง่าย (Less is More) มีความพอเพียงใช้วัสดุที่ราคาถูกทนทาน (Sufficient) โชว์ความดิบความจริงของวัสดุอย่างคอนกรีตเปลือยที่สวยงามทนทานตลอดการใช้งานโดยไม่ต้องใช้สี หรือวัสดุตกแต่งปิดทับ ความงามของสถาปัตยกรรม Brutalism ในยุคนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดการออกแบบที่ยั่งยืน แต่ยังคงมีปัญหาเรื่องวัสดุหลักคอนกรีตที่ปลดปล่อยคาร์บอนจำนวนมากในห่วงโซ่อุตสาหกรรม รูปทรงของอาคารดูเย็นชาไม่สร้างการเชิญชวนให้มีส่วนร่วมกับชุมชน และที่สำคัญขาดพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติรอบข้าง

การกลับมาสถาปัตยกรรมEco–Brutalismเติมความเขียวในความดิบสู่ยั่งยืนเดลินิวส์

ปัจจุบันมีกลุ่มสถาปนิกที่ยังคงคลั่งไคล้สถาปัตยกรรมที่สะท้อนจิตวิญญาณอันแรงกล้าของ “Brutalism” แต่เพิ่มเติมการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ทั้งมิติของสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเสถาปนิกกลุ่มนี้เป็นพวกที่เราเรียกว่า “Eco–Brutalist” ที่ดีกว่าเดิมคือพวกเขาจะเน้นการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น คอนกรีตคาร์บอนต่ำ ใช้ไม้ธรรมชาติที่มาจากป่าหมุนเวียน ใช้วัสดุใหม่ ๆ ที่เป็นนวัตกรรมรีไซเคิล

การกลับมาสถาปัตยกรรมEco–Brutalismเติมความเขียวในความดิบสู่ยั่งยืนเดลินิวส์

แต่ยังคงความดิบ โชว์สัจจะของวัสดุโดยไม่ต้องมีอะไรปิดทับ การออกแบบพื้นที่ยังคงเน้นเรื่องทิศทางของแสงเงาที่เข้ามาสู่พื้นที่ในอาคารให้พอดี ประหยัดไฟ  ประหยัดพลังงานเพื่อให้ได้มาตรฐานอาคารเขียว ที่สำคัญอาคารเหล่านั้นจะให้ความสำคัญกับการกักเก็บน้ำฝน และการบริหารจัดการน้ำให้วนเวียนให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญอาคารยุคใหม่นี้ยังให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวมากที่สุด โดยมิได้เป็นอาคารคอนกรีตที่ยืนโดดเด่นกลางสนามหญ้าอีกต่อไป แต่เป็นป่าคอนกรีตที่มีอาคารแทรกตัวอยู่อย่างกลมกลืน มีทั้งสวนแนวตั้งและสวนแนวนอน และ การนำธรรมชาติเข้ามาในอาคารนี้เองทำให้สถาปัตยกรรมแบบ “Eco–Brutalism” เป็นมิตรต่อผู้คน ดึงดูดให้ชุมชนมีส่วนร่วมกับงานสถาปัตยกรรมผ่านพื้นที่สีเขียว ทำให้อาคารที่แข็งกระด้างไร้จิตใจแบบเดิม กลายเป็นอาคารที่เป็นมิตร แต่ยังคงความดิบ เรียบง่าย และจริงใจ

การกลับมาสถาปัตยกรรมEco–Brutalismเติมความเขียวในความดิบสู่ยั่งยืนเดลินิวส์

สถาปัตยกรรมแบบ Eco–Brutalismกำลังวนกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง หลังจากที่ริเริ่มไว้เมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว โดยมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมเสริมนวัตกรรมความยั่งยืนเข้าไป มีทั้งอาคารใหม่ ๆ ที่น่าติดตามทั่วโลก รวมถึงการ Renovate อาคาร Brutalist ดั้งเดิมกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาคารสาธารณะ ในบ้านเราก็มีหลายแห่ง เป็นอาคารพาณิชย์คลาสสิก และอาคารเรียน ห้องสมุดในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ

การกลับมาสถาปัตยกรรมEco–Brutalismเติมความเขียวในความดิบสู่ยั่งยืนเดลินิวส์

Eco – Brutalism สง่างาม เรียบง่าย จริงใจ เพิ่มเติมเข้าไปด้วยธรรมชาติที่ยั่งยืน.

การกลับมาสถาปัตยกรรมEco–Brutalismเติมความเขียวในความดิบสู่ยั่งยืนเดลินิวส์

很赞哦!（27）